คติพจน์ ตอนต่าง ๆ


    คติธรรม

     วิชชาธรรมกายคือลู่ทางสู่มรรคผลนิพพาน  ไม่เป็นธรรมกายแปลว่ามรรผลนิพพานยังไกลสุดเอื้อม 
ได้แต่ปราถนามรรคผลนิพพาน ปล่อยเวลาให้เนินนานไปทำไมเรียนวิชชาธรรมกายแต่วันนี้ 
ได้บารมีแต่วันนี้

    ตถาคตคือ ธรรมกาย

     เราเกิดมาแล้วหลายชาติแต่ไม่พบวิชชาธรรมกาย นับว่าเกิดความเสียหายแก่เรา เหลือคนานับ
 เมื่อพบแล้ว จงกอบโกยให้สุดกำลัง
จากหนังสือ  ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตคือธรรมกาย
 http://www.kayadham.org/index-๙htm)ภาคภาษาอังกฤษ







 ในสมัยพุทธกาล มีชายพี่น้องสองคน ได้ไปบวชในสำนักของพระตถาคต
 ผู้พี่ได้ศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎก ถึงขั้นแตก
 ฉาน มีลูกศิษย์มากมาย
 ส่วนผู้น้องบวชแล้วได้มุ่งเข้าป่าเพื่อบำเพ็ญเพียร
 ผ่านไป 2 ปี ทั้งสองได้มาพบกัน ผู้พี่จึงได้ทด
 สอบถามข้อธรรมต่างๆกับน้อง แต่น้องตอบไม่ได้
 พี่จึงตำหนิว่า มัวแต่เข้าป่าไปเที่ยวเพลิดเพลิน
 กับธรรมชาติ เลยไม่รู้อะไร
 พระตถาคต ทรงทราบด้วยพระญาณว่า พี่กำลัง   ลบหลู่พระอรหันต์ จึงเสด็จไปหาภิกษุทั้งสอง
 พระองค์ทรงตรัสถามภิกษุทั้งสองว่า มรรคผลนิพพาน คืออะไร
 พี่ตอบไม่ได้เพราะไม่เคยปฏิบัติ แต่น้องตอบได้เพราะบรรลุอรหันต์แล้ว

                                                       ปิติภัทร วงศ์วิวัฒน์

   อวดอุตริมนุสธรรม

ในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีคนหนึ่ง ไม่ศรัทธาในศาสนาของ
พระตถาคตเขาประกาศว่า ถ้าใครเหาะขึ้นไปเอาบาตร
ทองคำลงมาได้ ก็จะยกบาตรให้
พระโมคคัลลานะ จึงให้สาวกที่มาด้วยเหาะขึ้นไปเอาบาตรลงมา
พระองค์ทรงประชุมสงฆ์ และประกาศว่า ต่อไปห้ามภิกษุแสดงปาฏิหาริย์ใดๆทั้งสิ้นถ้ายังละเมิด ให้ถือว่ามีโทษอาบัติขั้นปาราชิก
 คือให้สึกออกและห้ามบวชอีกตลอดชีวิต
 เพราะความศรัทธาในธรรมวินัยเป็นสิ่งที่อัศจรรย์กว่าปาฏิหาริย์ใดๆ
                                                      พระองค์ต้องการให้ชาวบ้านศรัทธาธรรม มากกว่า                                                                                       ศรัทธาอภินิหาร

                                                                                     ปิติภัทร วงศ์วิวัฒน์  

   เช้าวันหนึ่ง นายพรานได้ออกไปล่าสัตว์ เขาวางบ่วงดักสัตว์ไว้กลางเส้นทาง
พระตถาคต ทรงทราบด้วยพระญาณว่า เขาจะได้บรรลุโสดาบัน
 พระองค์ทรงเสด็จเข้าไปในป่านั้น และพบสัตว์ติดบ่วง
 

 จึง   ปลดปล่อยและวางรอยพระบาทไว้
 นายพรานกลับมาที่บ่วง เห็นบ่วงถูกปลด และเห็น
 รอยเท้า เขาโก่งธนูจะสังหารนักบวชที่เขาไม่รู้ว่า
 เป็นพระตถาคต
 พระองค์ทรงแสดงพุทธานุภาพ ทำให้เขายืนค้างใน
 ท่า โก่งธนู กระดิกตัวไม่ได้
 ภรรยารู้สึกเป็นห่วงเพราะเขาไปนาน จึงได้ออกไป
 ตาม เธอตกใจเพราะเห็นสามีจะยิงพระองค์
 เธอได้เข้าไปกราบขอขมาแทนสามี
 พระองค์ทรงคลายพุทธานุภาพ เขาจึงสำนึกบาป
 และเข้ามากราบพระองค์
 ภรรยานั้นได้เป็นโสดาบันนานแล้ว
 พระองค์ทรงแสดงธรรมให้ทั้งสองฟัง
 นายพรานได้บรรลุโสดาบัน และเลิกเป็นพราน เขาไป
ทำไร่เลี้ยงชีพอย่างมีความสุข                    

                                              ปิติภัทร วงศ์วิวัฒน์





  ในสมัยพุทธกาล มีโรคระบาดเกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้เมืองสาวัตถี
 ชาวบ้านล้มตายทุกวัน และข่าวนี้ได้ไปถึง
 วัดเชตวัน
 พระตถาคต ทรงเสด็จไปพร้อมด้วยอรหันต
 สาวก 108 รูป เมื่อพระองค์ไปถึงแล้ว 
ได้ตรัสบอกให้ชาวบ้านตักน้ำใส่ภาชนะ เอา
 มารวมกันไว้ที่กลางหมู่บ้าน
 พระองค์ทรงนำเหล่าอรหันตสาวกทั้ง 108 รูป
 สวดบทคาถาพระปริตร
 เมื่อสวดจบแล้ว พระองค์ทรงใช้ยอดกิ่งไม้จุ่ม
 ลงในน้ำ แล้วพรมน้ำขึ้นไปบนอากาศ
 เมื่อพระองค์และเหล่าอรหันตสาวกเสด็จกลับ   ปรากฏว่าโรคระบาดนั้นหายไปโดยอัศจรรย์

                                                        ปิติภัทร วงศ์วิวัฒน์


 ในสมัยพุทธกาล พวกเศรษฐีชอบการทำบุญเลี้ยงพระ


เศรษฐีได้ผ่านมาที่หน้าบ้านชายยากจนคนหนึ่ง แล้วถามว่าจะขอรับพระกี่รูป
 ชายยากจนบอกว่า แม้ข้าวจะหุงกินยังไม่ค่อยจะมี คงไม่รับพระ
 เศรษฐีบอกว่า ที่เรามีเงินทองใช้และมีความสุขสบาย
 ก็เพราะเราทำบุญบ่อย แต่ท่านยากจนเพราะไม่เคย     ทำบุญ
 เขาจึงขอรับพระ 1 รูป และรีบไปรับจ้างหาเงินเพื่อซื้อ   อาหาร
 ครั้นถึงวันทำบุญแจกจ่ายพระ เขาไม่ได้รับพระ เพราะ   เศรษฐีลืมจดบันทึกไว้
 เขาเสียใจมาก และรีบวิ่งไปที่วัดเชตวันเพื่อขอพระ
 ในวัดคงเหลือเพียงพระตถาคตเท่านั้น พระองค์ทรง   เมตตาและตรัส
ว่า เราจะไปที่บ้านของเธอ
 เมื่อพระองค์ทรงเสด็จมา และได้รับอาหารของเขา   แล้ว พระองค์ทรงประทานบาตรให้เขาเก็บไว้บูชา

 ต่อมาเขาได้มีงานทำ และได้ค้าขายอย่างร่ำรวยเป็นเศรษฐี เพราะความเมตตาของพระองค์โดยอัศจรรย์

                                                             ปิติภัทร วงศ์วิวัฒน์


  ในสมัยพุทธกาล มีเด็กหญิงขอทาน ได้อาศัยกินเศษอาหารของบ้านเศรษฐี
เธอเห็นเศรษฐีใส่บาตรที่หน้าบ้านทุกเช้า
เธอป่วยแต่ก็ไม่มีเงินไปรักษาตัวเอง
เธอคิดจะทำบุญใส่บาตรเหมือนกับเศรษฐี
เธอได้เก็บเศษอาหารไว้ โดยไม่ยอมกิน
เช้าวันรุ่งขึ้น พระสารีบุตรมีญาณรู้ว่า เธอจะสิ้นชีพแล้วได้ไปอยู่บนพรหมโลก
พระสารีบุตร ไปบิณฑบาทที่หน้าบ้านเศรษฐี แต่ท่านไม่เปิดฝาบาตร
เมื่อเด็กหญิงขอทานจะใส่บาตร พระสารีบุตรได้เปิดฝาบาตรและรับอาหารจากเธอ
พระสารีบุตร ได้นั่งลงตรงนั้นต่อหน้าเธอ และฉันฑ์เศษอาหารของเธออย่างไม่รังเกียจ
เธอรู้สึกปีติน้ำตาไหล อิ่มเอิบในบุญนั้น
พอตกเย็น เธอก็สิ้นชีพลง และได้ไปอยู่บนพรหมโลก ด้วยผลบุญที่ทำกับอริยเจ้า

                 
                                                                Nu_Appichain   


 ในสมัยพุทธกาล มีลัทธิต่างๆที่ยังไม่รู้จักพระตถาคต
พระองค์ทรงเห็นพวกพราหม์นั่งสวดมนต์ล้อมกองไฟ จึงเดินเข้าไปหา
พระองค์ทรงตรัสถามว่า พวกท่านกำลังทำอะไร
พวกเขาตอบว่า กำลังบูชาไฟเพื่อขอไถ่บาป เพราะไฟคือความบริสุทธิ์
พระองค์ได้พาหัวหน้าพราหมณ์ไปริมแม่น้ำ และตรัสถามว่า ถ้าเราจะข้ามน้ำไปฝั่งนั้น เราจะทำอย่างไร
เขาตอบว่า เราต้องนั่งเรือไป หรือว่ายน้ำข้ามไปก็ได้
พระองค์ทรงตรัสว่า ทำไมเราไม่สวดอ้อนวอนให้แผ่นดินเลื่อนเข้ามาล่ะ
เขาได้ฟังแล้วรู้สึกปีติ เกิดดวงตาเห็นธรรม เพราะไม่เคยมีใครพูดแบบนี้ให้ฟัง
เขาขอบวชกับพระองค์ และพาบริวารทั้งหมดบวชที่ริมแม่น้ำนั้น
พระองค์ทรงให้นามเขาว่า มหากัสสปะ   



                                                                ปิติภัทร วงศ์วิวัฒน์   

 อานนท์ ธรรมของเรานั้นมีมากมาย เหมือนใบไม้ทั้งป่า

  เธอจงเก็บขึ้นมาเพียง 3 ใบก็พอ นั่นคือ ศีล สมาธิ      ปัญญา

  เราตถาคต ได้ชี้เส้นทางเดินไว้ให้ แต่การเดินเป็น     หน้าที่ของพวกเธอ
  ศีล ช่วยกำจัดกิเลสชนิดหยาบ
  สมาธิ ช่วยกำจัดกิเลสชนิดกลาง
  ปัญญา ช่วยกำจัดกิเลสชนิดละเอียด
  ธรรมของเรานั้น มีอยู่ทุกที่ถ้าเธอคิดถึง
  เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาลเวลาและไม่จำกัดสถานที่
 อานนท์ เส้นทางของเรานั้น ใช่ว่าจะเดินกันได้ทุกคน
  ผู้ใดเห็นธรรมของเรา ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต 

                                                                                 ปิติภัทร วงศ์วิวัฒน์       



  ในสมัยพุทธกาล พระตถาคตทรงเสด็จผ่านไปทางริมแม่น้ำ และได้เห็นพราหมณ์กำลังมุดน้ำ
พระองค์ทรงตรัสถามว่า ท่านกำลังทำอะไร 
เขาตอบว่าเรากำลังไถ่บาปด้วยการมุดน้ำ 
1,000 ครั้ง
พระองค์ทรงถามว่า ไถ่บาปเพราะทำผิดอะไรหรือ
เขาตอบว่า เราเผลอไปเหยียบกบตายที่ริมน้ำ
พระองค์ทรงแสดงธรรมให้เขาฟังว่า การไถ่บาป
ที่ถูกต้องนั้น คือเราต้องสำนึกผิดด้วยจิตที่บริสุทธิ์
ของเราแต่ถ้าจิตเรายังไม่สำนึกผิด แม้จะทำโทษ
ตนเอง หรือถูกผู้อื่นทำโทษด้วยการทรมาน 
ร้อยครั้ง พันครั้ง ก็ยังไถ่บาปไม่ได้เพราะว่าเรา  
ยังจะหวนกลับไปทำอีกก็ได้


                                                                               ปิติภัทร วงศ์วิวัฒน์     



ในสมัยพุทธกาล มีพระเถระรูปหนึ่ง ติดขัดในข้อธรรม      
 เขาจึงเดินทางไปหาพระตถาคต แม้จะประทับอยู่ไกลก็ตาม
 เขากราบทูลขอให้พระองค์ทรงแสดงธรรมให้เขา   ฟังเถิด 
 พระองค์ทรงตรัสว่า เธอเดินทางมาจากที่ไกล   ร่างกายเหนื่อยล้า เธอจงพักผ่อนก่อนเถิด
 เขาไม่ยอม และทูลบอกว่า อุตส่าห์เดินทางมา
ไกล อาจสิ้นชีพลง ก่อนที่จะได้ฟังธรรม
 พระองค์ทรงตรัสว่า การฟังธรรมให้ได้ประโยชน์
นั้น จิตต้องว่างและปล่อยวางทุกสิ่ง
เขาได้ฟังเพียงเท่านีั เกิดดวงตาเห็นธรรม และบรรลุอรหันต์ในเวลานั้นเอง                                                                    

                                                                                   ปิติภัทร วงศ์วิวัฒน์

หลวงพ่อวัดปากน้ำฯอธิบายว่า ภพดึงดูดนั้นมีอยู่ ถ้ากายละเอียดที่หาที่เกิดใดๆ มีบุญไม่เพียงพอที่
จะเกิดเป็นคน แต่เพียงพอมี่จะไปเกิดในภพสัตว์ ก็จะถูกภพสัตว์ยั้นดึงดูด เกิดเป็นสัตว์ แต่กายละเอียด
ยังเหมือนของมนุษย์
เต่า 2ตัวนี้ก็เหมือนกัน  ทันใดที่จุติในภพสัตว์เห็นจำคิดรู้ ก็จะถูก
เครื่องบังคับให้มีความรู้สึก เป็นสัตว์ชนิดนั้น  
เรียกว่าชาติที่เกิดเป็นสัตว์นั้นหมดโอกาสสร้างบารมีใดๆเลย
อย่างนี้แหละที่เรียกว่าเสียชาติเกิด
สำหรับมนุษย์อย่างเราเรียกว่ามีบุญมากพอควรจึงเกิดเป็นคนแต่ถ้า มีดวงปัญญาน้อย ก็จะไม่รู้จักหน้าที่หลักของตนเอง ว่าที่มาเกิดคราว
นี้นั้นเพื่อมาหาแก้ว
เปรียบเสมือนคนมีบุญเก่าแต่ถูกกรรมบัง โอ้ว่าอนิจจาเอ๋ย  
 คนที่มีปัญญาก็ต้องเร่งฝึกใจ ให้เข้าถึงเจโตวิมุติ        อย่างน้อยต้องเป็นดวงปฐมมรรคให้ได้
 กลวงพ่อฯบอก ให้บริกรรม สัมมาอะระหัง ฟอร์มไว้ (คือท่องในใจยืนพื้นไว้ตลอดเวลา)เลื่อนใจไปตามฐานทั้ง 7 นึกให้ใจหยุด ที่ศูนย์กลางกายให้ได้ 
จะขี้ เยี่ยว นั่ง ยืน เดิน นอน กระทั่งวิ่ง ก็ท่อง สัมมาอะระหัง ตลอดเวลา ร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง แสนครั้ง ไม่หยุดทีเดียว
คนที่ทำได้เขาก็เป็นคน  เราก็เป็นคน ให้มันรู้ไปว่าเราจะทำใจหยุดไม่ได้เชียวหรือ
ฟังหลวงพ่อฯสอนอย่างนี้แล้วเกิดกำลังใจ ขอสู้ตายถวายชีวิตให้แก่พระธรรมทีเดียว


                                                     อาจารย์ วิบูลย์  รัตนพงษ์วัฒนา
                                                                            

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น