นิพพานกายธรรมมีกายโต
กล่าวถึงนิพพานกายธรรม ทรงมีธรรมกายโตขึ้น เดิมหน้าตัก 20 วา ก็โตขึ้นกว่าเดิม มีกติกาดังนี้เดิมตรัสรู้ได้ 84,000 ธรรมขันธ์ หากตรัสรู้ได้อีก 84,000 ธรรมขันธ์ ธรรมกายของพระองค์โตขึ้น
ไปอีก 20 วา ยิ่งตรัสรู้ได้มาก ธรรมกายก็ยิ่งโตขึ้นไปอีก
อันนี้เป็นความรู้ใหม่ เราไม่ได้คิดมาก่อน เป็นเหตุบังเอิญแท้ ๆ พวกเราเข้านิพพาน ตกใจตาม ๆ กัน ทำไมพระพุทธเจ้ามีธรรมกายโตนัก เราจึงได้ความรู้ว่า การที่ตรัสรู้ได้เพียง 84,0100 ธรรมขันธ์นั้น เป็นเพราะมารเขาสกัดกั้น จึงตรัสรู้ได้แค่นั้น
ตรัสรู้เพียงแค่นี้ยังสู้มารเขาไม่ได้ ต้องตรัสรู้ไปให้มากกว่านั้น อย่างพระสมณโคดมทรงเห็นวิชชาอิทธิบาทภาวนา ส่งผลให้กายมนุษย์มีอายุยืนเป็นกัปกัลป์ได้ ไปแสดงอุบายให้พระอานนท์อาราธนาในที่ต่าง ๆ 16 ตำบล พระอานนท์ก็ไม่อาราธนา พอครบกิจ โสฬสสิบหก (กายธรรมพระโสดา กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี และกายธรรมพระอรหัต ตรัสรู้อริยสัจ 4 แจ้งทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)
พระอานนท์นึกได้กล่าวอาราธนา พระพุทธองค์จึงทรงรับอาราธนาไม่ได้ เพราะผิดพุทธประเพณี พอพระพุทธองค์ทรงเห็นวิชชาดี มารไม่ยอมแล้ว จะให้นิพพานอย่างเดียว เอาโรคมาใส่ให้ เพื่อให้
ตายเร็ว ๆ มีเหตุผลว่า เมื่อเห็นวิชชาละเอียดขึ้น จะเป็นสื่อให้ไปเห็นวิชชาที่เขาทรมานสัตว์โลก ไปเห็นวิชชาปกครองของเขาเข้า แล้วจะมาคิดสู้กับเขาหนหลัง คือ คิดรบกับเขาอย่างที่ข้าพเจ้า
(หมายถึงท่านอาจารย์คุณลุงการุณย์ บุญมานุช) รบกับเขาในทุกวันนี้ ในที่สุดพระพุทธองค์ก็อาพาธและเข้านิพพานในที่สุด เรื่องมันอย่างนี้ กลับมาเรื่องตรัสรู้กันต่อไป ท่านอยากถามว่า ต้องตรัสรู้แค่ไหนจึงจะชนะมาร ข้อนี้ตอบไม่ได้ ต้องให้งานปราบมารของข้าพเจ้ายุติเสียก่อนจึงจะตอบ
ได้ในตอนนั้น
ท่านอย่าเพิ่งเชื่อข้าพเจ้า (คือท่านอาจารย์คุณลุงการุณย์ บุญมานุช) ควรเข้ากายธรรมไปทูลถามพระพุทธเจ้าในนิพพานดูก็ได้ เพราะท่านก็เป็นธรรมกายเหมือนกับข้าพเจ้า ท่านมีสิทธิ์ตรวจสอบความถูกต้องทุกเรื่องที่ข้าพเจ้านำมากล่าวทั้งหมด
ท่านอาจารย์คุณลุงการุณย์ บุญมานุช ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าได้คติมาจาก อ.แม่ชีถนอม จึงนำความรู้วิชชาปราบมารออกเผยแพร่ เพราะวิชชาปราบมารยากเหลือหลาย ยากที่จะเป็น ยากที่จะรู้ ยากที่จะทำ ยากที่จะอธิบาย ไม่ใช่ความรู้ธรรมดา เพียงคำพูดของหลวงพ่อท่านว่า “ค้นคว้ากันถึง 2,000 ปีทีเดียว จากข้อมูลที่เล่ามานี้ ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านรับภาระหนักหนาเพียงไร ขนาดตี 3 ยังต้องไปตรวจเวรการทำวิชชาปราบมารที่โรงงานทำวิชชา และกว่าที่วิชชาธรรมกายจะแพร่หลายไปดังในทุกวันนี้ หลวงพ่อเหนื่อยมากมายยิ่งนัก
โดยอาจารย์ วิบูลย์ รัตนพงษ์วัฒนา //ห้องพระมงคลมุนีฯ
ข้าฯผู้นำมาลงต้องการให้อ่านดูเป็นความรู้ เรียนต้องเข้าห้องพพพพพพ
วิชชาขยายสิทธิข่ายญาณตอนที่ 5
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจสุดยอดวิชชาชั้นสูงต่อไปนี้ก่อน1.สิทธิและอำนาจ “สิทธิ” และ “อำนาจ” ทั้ง 2 อย่างนี้ต่างกัน
“สิทธิ” หมายถึง ได้สิทธิในสิ่งนั้น ๆ บริบูรณ์เต็มที่ เช่นได้สิทธิเป็นกษัตริย์ ได้สิทธิเป็นจักรพรรดิ ได้สิทธิเป็นพ่อบ้านแม่เรือน ได้สิทธิในพื้นที่ดืน เป็นเรือกสวนไร่นา เป็นต้น
ส่วน “อำนาจ” นั้น เป็นของมีขึ้นเนื่องจากสิทธินั้น เช่นกษัตริย์มีสิทธืปกครองอาณาจักรไปแค่ไหน ? อำนาจก็มีไปแค่นั้น หรือพ่อบ้านแม่เรือนเป็นผู้มีสิทธิในพื้นที่เรือกสวนไร่นาของ ๆ ตน มีสิทธิปกครองสิทธิ์ขาดแค่ไหน ? อำนาจของตนก็มีสิทธิไปแค่นั้น
วิธีแสวงหาสิทธิทางโลก ต้องใช้วิธีต่าง ๆ นานา ตลอดจนถึงเบียดเบียนรบราฆ่าฟันกันเป็นพวก ๆ ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เข้าประหัตประหารกัน เพื่อแย่งสิทธิกันนั่นเอง เพราะชาติใดพวกใดได้สิทธิขยายเขตออกไปมากแค่ไหน ? อำนาจปกครองก็ขยายส่วนไปแค่นั้นตามสิทธิ
ส่วนการแสวงหาสิทธิในทางธรรมนั้น ไม่ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ประหัตประหารกันเช่นนั้น ใช้สมาธิจิต หรือจิตตานุภาพที่หยุดนิ่ง จนละเอียดไม่มีสิ้นสุด ที่เรียกว่า “อนัตตญาโณ” นับเป็นเครื่องหาสิทธิของเขามา คือเอากายทั้งหมดทุกกายตลอดวงศ์สายขาว วงศ์สายกลาง และสายดำ ทั้ง เถา-ชุด-ชั้น-ตอน-ภาค-พืด มาซ้อนสับทับทวีเข้าในกายมนุษย์ กลั่นให้ใสสะอาดดี แล้วเอาจุลจักรกับพวกบริวารพร้อมด้วยสมบัติรัตนะ 7 ประการ และมหาจักรกับพวกบริวารพร้อมด้วยสมบัติรัตนะ 7 ประการ ของทุก ๆ กายตลอดวงศ์สายขาว สายกลาง ทั้งกาย เถา-ชุด-ชั้น-ตอน-ภาค-พืด มาซ้อนสับทับทวีเข้าในรัตนะ 7 ประการนั้นทั้ง 7 อย่าง หรือเฉพาะอย่างเดียวก็ได้ คือเมื่อเอารัตนะอย่างหนึ่ง อีก 6 อย่างก็คงมารวมในรัตนะอย่างเดียวนั้นทั้งหมด เช่น จะรวมในจักรแก้ว รัตนะอีก 6 ก็รวมในจักรแก้วหมดทุกอย่าง หรือจะไม่รวมเฉพาะอย่าง ให้คงเป็นสัตตรัตนะอยู่ครบทั้ง 7 ก็ได้ สุดแท้แต่จะต้องการ แล้ว
กลั่นให้ใสทั้ง 7 แล้วเอามือขวาของกายมนุษย์นี้ถือจักร มือซ้ายถือดวงแก้ว ส่วนรัตนะอีก 5 อย่างนั้น เอาข้าไว้ในกายมนุษย์ กลั่นให้กายใสเป็นแก้ว นี้เป็นการยืนพื้นไว้เป็นมูลเดิม แล้วพิสดารรัตนะ 7 ออกไปตามแต่จะต้องการใช้
2.ดูสัณฐานนิพพาน ภพ 3 โลกันต์ในจักรวาล
จักรวาลนี้มีสัณฐานกลม มีภูเขาเป็นเขตล้อมรอบ ภายในจักรวาลมีนิพพานอยู่ส่วนเบื้องบน เบื้องกลางคือภพ 3 เบื้องต่ำคือภพโลกันต์เป็นราก
นิพพานปรุงแต่งขึ้นด้วยธาตุธรรมแก้วกายสิทธิ์ ใสสว่างบริสุทธิ์ไปด้วยแก้วกายสิทธิ์ ทั้งพื้นและอากาศเบื้องบนและข้างขวา ข้างซ้าย ภายในนิพพานนั้น สำเร็จไปด้วยแก้วกายสิทธิ์ทั้งนั้น นิพพานมีลักษณะสัณฐานกลมดังลูกกระสุน รอบนอกก้อนกลมนั้นเป็นอากาศว่างสะอาด และละเอียดบริสุทธิ์ ก้อนกลมนั้นลอยอยู่กับอากาศ มีอากาศที่สะอาดละเอียดรองรับอยู่ ภายในก้อนกลมนั้นเป็นเมืองนิพพาน เป็นที่เสด็จอยู่ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย เป็นที่เสด็จอยู่ ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย มากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง 4
พื้นว่างและอากาศเป็นพื้นเบื้องบน และอากาศที่เป็นพื้นข้างขวาข้างซ้ายภายในก้อนกลมนั้น สำเร็จไปด้วยแก้วกายสิทธิ์ทั้งนั้น มีพระพุทธเจ้านั่งเป็นแถวเรียงกันไปสุดหูสุดตา จะนับจะประมาณมิได้ มีขนาดองศาเท่า ๆ กัน เกตุดอกบัวตูมเป็นแก้วขาว หน้าตักกว้าง 20 วา สูง 20 วาเท่ากัน ที่เป็นพระพุทธเจ้าเนื้อแก้วก็ใสสะอาด ที่เป็นพระสาวกและพระสาวิกา เนื้อแก้วก็ใสละเอียดลดลงมากกว่าพระพุทธเจ้า เป็นเพชรน้ำที่รอง ๆ กันลงมา และมีแก่อ่อนกว่ากันเป็นชั้น ๆ ตามบารมีแก่ อ่อน กว่ากันหรือตามธาตุธรรมอ่อนแก่กว่ากัน
ดูภพ 3 คือ อรูปภพ รูปภพ กามภพ นั่นคือ อรูปภพเป็นสุดเบื้องบน และอเวจีนรกเป็นที่สุดเบื้องล่างของภพ 3 อรูปภพตั้งลอยอยู่บนอากาศ ปรุงแต่งขึ้นด้วยธาตุธรรมเป็นแก้วกายสิทธิ์เหมือนกัน แต่หยาบกว่าชั้นนิพพานลงมา ตามชั้นพื้นเบื้องล่างและอากาศเบื้องบน และเบื้องขวา เบื้องซ้ายของอรูปภพนั้น สำเร็จด้วยแก้วกายสิทธิ์ แต่หยาบกว่าชั้นนิพพานมาก
เมื่อดูอรูปพรหม จะเป็นเป็นรูปอยู่ภายในดวงแก้ว หน้าตักกว้าง 1 คืบ สูง 1 ศอก นั่งอยู่ภายในดวงแก้วกลม ๆ หุ้มห่ออยู่ ตั้งเป็นแถวเป็นแนวเรียบรายไปจนสุดหูสุดตาเต็มไปหมด
ส่วนอรูปพรหมอีก 3 ชั้นต่ำลงมานั้น ก็เช่นเดียวกับชั้นบน ต่างแต่หยาบกว่ากันลงมาเป็นชั้น ๆ ทุกที คือ อรูปพรหมชั้นอากิญจัญญายตนะ หยาบกว่าชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ และอรูปพรหมชั้นวิญญานัญจายตนะ หยาบกว่าอรูปพรหมชั้นอากิญจัญญายตนะ และอรูปพรหมชั้นอากาสานัญจายตนะหยาบกว่าชั้นวิญญานัญจายตนะ
เมื่อดูอรูปพรหมแล้ว ก็มาดูชั้นรูปภพลงไปเป็นลำดับตั้งแต่ชั้นพรหม 16 ชั้นลงไปจนถึงสวรรค์ 6 ชั้น ต่อมาก็ดูชั้นมนุษย์ จากนั้นมาดูชั้นอบายภูมิ 4 แล้วมาดูชั้นอเวจี อันเป็นที่สุดของภพ 3 เมื่อดูชั้นภพ 3 เสร็จแล้วให้ดูภพโลกันต์ต่อไป
สรุปว่า
จักรวาลประกอบด้วยนิพพานเป็นยอด ภพ 3 เป็นลำตัว โลกันต์เป็นรากภพ 3 ประกอบด้วยอรูปภพ 4 ชั้นเป็นยอด รูปภพ 16 ชั้นเป็นลำตัว กามภพ(ภพทั้งปวงที่เสพกามตามลักษณะอ่อนแก่หยาบละเอียดของธาตุและธรรมรวมทั้งนามธรรม) เป็นราก
กามภพ ประกอบด้วย สวรรค์ 6 ชั้นเป็นยอด มนุษย์เป็นลำตัว นรก 543 ขุม และ( ยังมีอบายภูมิ 4 คือเปรต อสุรกาย นรก และสัตว์เดียรฉาน ) เป็นโคนต้น อเวจีเป็นราก (เป็นที่สุดของภพ 3 )
โลกันต์ เป็นอีกภพหนึ่งอยู่ต่ำกว่าภพ 3
3.วิธีประกอบวิชชา และทำวิชชาพิสดาร ประกอบวิชชาพิสดารลงไปเท่าไร กายมนุษย์คอยตรวจดูพวกที่เข้านิพพาน พวกไปเกิดมาเกิด ตั้งแต่โลกันต์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย มนุษย์ ทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหม และนิพพาน
ดูตลอดแล้ว จะเห็นว่า ในศูนย์กลางกำเนิดของกายทุกกาย มีเครื่องรับส่งกาย ให้ไปเกิดมาเกิดในภพต่าง ๆ ได้ทุกกาย นอกจากกายเหล่านี้แล้ว ภพทุกภพ ที่ขอบภพข้างล่างและขอบภพข้างบน ต่างก็มีเครื่องสำหรับรับส่งกาย ให้เข้ามาในภพ และส่งกายออกไปนอกภพ
ใน “ศูนย์กลางภพ” ก็มีเครื่องรับส่งตรงกันกับศูนย์กำเนิดของกายทุกกาย ตัวอย่างเช่น จากศูนย์กลางภพของโลกันต์ ก็มีเครื่องรับส่งสัตว์โลกันต์ไปยังขอบภพของโลกันต์ และที่ขอบภพของโลกันต์ ก็มีเครื่องรับส่งกายสัตว์เหล่านั้นไปยังภพนอก และรับสัตว์เข้ามาในภพเช่นเดียวกัน
ให้เราลองปล่อยกายของพระอนาคามีให้เข้าในพระนิพพารน ตรวจดูให้ตลอดแล้ว ปรากฏว่าในชั้นต้น กายนั่งหันหน้าไปทางทิศบูรพา จึงให้กายธรรมเดินสมาบัติ กลับไปกลับมา 7 เที่ยว วิธีเดินฌานสมาบัติ ให้เดินจากฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 8 นับเป็นอนุโลม 1 เที่ยว แล้วกลับจากฌาน 8 ถึง ฌาน 1 เป็นปฏิโลมเป็น 2 เที่ยว ให้ทำจนถึง 7 เที่ยว แล้วกายนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่ฌาน 8 ในเวลาที่เดินฌานอยู่นั้น กายธรรมเกิดความยินดีในสมาบัติ จะปล่อยให้ตกศูนย์ไปยังนิพพานไม่ได้
เพราะฉะนั้น เมื่อถึงฌานที่ 8 แล้ว กายธรรมและกายอรูปพรหม กายรูปพรหม กายทิพย์ กายมนุษย์ ทุกกายก็พิจารณาปล่อยขันธ์ 5 ปล่อยตั้งแต่กายหยาบไปหากายละเอียด กายธรรมก็พิจารณาปล่อยรูปฌาน อรูปฌาน ปล่อยความยินดีในฌาน ปล่อยความจำ ความคิด ความรู้ ของความยินดีที่มีอยู่ในฌานนั้น ทั้งสิ้น
เมื่อปล่อยหมดแล้ว พร้อม ๆ กันกับที่ “ปล่อยขาด”นั้น กายธรรมที่หยาบก็ขาด กายธรรมที่ละเอียดก็ตกศูนย์แล้ว ทั้งนี้เพราะศูนย์กลางกายธรรมนั้น มีเครื่องคอยรับส่งอยู่แล้ว เครื่องนั้นก็ดูดให้ตกศูนย์ แล้วเครื่องนั้นก็ทำหน้าที่เดินส่งกายธรรมไปยังขอบภพข้างบน
ที่เอามาทั้งหมดยังไม่หมด อย่าเอาไปฝึก ด้วยข้าฯกลัวท่านอันตราย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น